วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประวัติ เสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร เสือฝ้าย ขุนพันธรักษ์

ประวัติ เสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร เสือฝ้าย ขุนพันธรักษ์

 

 

 

เสือใบ

เสือใบ มีชื่อจริงว่า ใบ สะอาดดี เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่โด่งดัง ร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือมเหศวร, เสือฝ้าย เป็นต้น โดยเสือใบจะออกปล้นในแถบภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดลพบุรี โดยเวลาออกปล้นจะแต่งชุดสีดำ สวมหมวกดำ และปล้นด้วยความสุภาพ จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือใบ เสือใบถูกปราบได้โดยนายตำรวจมือปราบชั้นยอด คือ ขุนพันธรักษ์ราชเดช

เรื่องราวของเสือใบ โด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างมาก จนกลายมาเป็นวรรณกรรมของ ป. อินทรปาลิต ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สองครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 ชื่อ สุภาพบุรุษเสือใบ ผู้รับบทเสือใบ คือ ครรชิต ขวัญประชา และในปี พ.ศ. 2541 ในเรื่อง เสือ โจรพันธุ์เสือ ที่ซึ่งบทเสือใบ นำแสดงโดย อำพล ลำพูน กำกับการแสดงโดย ธนิตย์ จิตนุกูล แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เสือใบในเรื่องแตกต่างจากเสือใบในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง เป็นต้นว่า เปลี่ยนชื่อจริงของเสือใบเป็น เรวัติ วิชชุประภา และเป็นลูกชายของขุนนางผู้ใหญ่ผู้หนึ่งในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่พ่อถูกฆ่าตายและถูกใส่ความจนต้องหนีเข้าป่าไปเป็นโจร หรือ นายตำรวจผู้ปราบเสือใบ ชื่อ ผู้กองยอดยิ่ง สุวรรณากร ที่รับบทโดย ดอม เหตระกูล เป็นต้น
ปัจจุบัน เสือใบยังคงมีชีวิตอยู่ สุขภาพยังคงแข็งแรงแม้อายุจะล่วงเข้าวัย 80 กว่าแล้ว
อนึ่ง คำว่า "เสือใบ" ในปัจจุบันเป็นศัพท์แสลงที่เป็นที่รู้จักกันดีว่า หมายถึงชายที่มีพฤติกรรมรักได้ทั้งสองเพศ โดยแผลงมาจากคำว่า Bisexual ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อเรียกทับศัพทืมาเป็นไทย จะใช้คำว่า เสือไบ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันกับ คำว่า เสือใบ แต่อย่างใด

พระทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร เสือดำ 

หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ อดีตเสือดำ จอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ เสือฝ้าย เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่าเสือดำ จากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้วยความสุภาพ นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับเสือใบ
เสือดำ ถูกปราบได้ด้วยขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดัง โดยขุนพันธ์ฯ ให้โอกาสเสือดำกลับตัว เสือดำจึงไปบวชกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น และบวชมาจนบัดนี้
ปัจจุบัน หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร มีอายุกว่า 80 แล้ว แต่สุขภาพก็ยังแข็งแรงอยู่ และมักได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกับ เสือใบ และ เสือมเหศวร เสมอ ๆ
เรื่องราวของเสือดำ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2543 ในเรื่อง " ฟ้าทะลายโจร " โดยผู้รับบทเสือดำ คือ ชาติชาย งามสรรพ์


เสือมเหศวร


เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ศวร เภรีวงษ์ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในแถบภาคกลางหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือฝ้าย และเสือใบ โดยเสือมเหศวรแต่เดิมเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ถูกอำนาจรัฐรังแกและถูกใส่ความว่าฆ่าพ่อตัวเอง จึงจับปืนขึ้นต่อสู้และกลายมาเป็นจอมโจรชื่อดังในที่สุด โดยได้ชื่อว่า "มเหศวร" จากการแขวนพระเครื่องมเหศวรไว้ที่คอ ซึ่งได้ชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย และเมื่อเวลาออกปล้นจะปล้นด้วยความโหดเหี้ยมจนได้รับฉายาว่า จอมโจรมเหศวร เคยโดนตำรวจยิงที่ลำตัวและศีรษะหลายนัดแต่ไม่เข้า

เสือมเหศวร ถูกปราบโดยขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งขุนพันธ์ ฯ เป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้เสือมเหศวรมอบตัว หลังจากได้รับโทษในเรือนจำแล้ว เสือมเหศวรก็ได้บวชเป็นพระและบวชเป็นพราหมณ์มาจนถึงปัจจุบัน แม้มีอายุกว่า 90 แล้ว แต่เสือมเหศวรก็ยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่ และเป็นที่เล่าลือว่าเป็นบุคคลจอมขมังเวทย์ มีชาวบ้านและผู้ที่เชื่อถือแวะเวียยนมาพบปะพูดคุยเสมอ ๆ โดยล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 เป็นผู้ทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพรุ่นเซ็นเสือมเหศวรของวัดแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ด้วย
เรื่องราวของเสือมเหศวร เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วสองครั้งหนึ่ง โดยผู้ที่รับบทเสือมเหศวรคนแรกคือ มิตร ชัยบัญชา และเสือมหเศวรคนที่สองคือ สมบัติ เมทะนี

เสือฝ้าย


ในยุคสมัยหนึ่ง... จอมโรในฉายานาม “เสือ” ต่างออกอาละวาด ปล้น ชิงทรัพย์ ข่มขู่ อาศัยความรุนแรง สร้างสมอิทธิพลมืดเหนือเพื่อนบ้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ประดาเสือพวกนั้นใช่หนึ่งในเด็กที่เคยวาดฝันถึงอาชีพสุจริตด้วยหรือไม่ หากใช่ ไฉนเขาทั้งหลายถึงเลือกเดินคู่ขนาน ในทิศตรงข้ามของความดีงาม


“ฝ้าย” ชื่อเดิมของหนุ่มวัยฉกรรจ์ เขาถูกเล่นงานชนิดเจ็บแสบจากทางตำรวจ โดยมีญาติรายหนึ่งหนุนเนื่องมากับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไส่ไคล้ฝ้ายให้ถึงกับจนมุม ครั้งนั้นฝ้ายถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลอันตรายต่อชุมชนและรัฐ ฐานกระทำความผิดร้ายแรงในข้อหาพาผู้ร้ายหลบหนี ฝ้ายซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จำต้องเดินเข้าซังเตอย่างไม่สามารถปริปากอุทธรณ์ความบริสุทธิ์ของตน แปดปีกว่ากับการใช้ชีวิตในสถานกักขัง สูญสิ้นอิสรภาพทางกายภาพ เหลือเพียงกำแพงกับซี่กรงเขรอะสนิมเป็นเพื่อนในทุกโมงยาม ครั้นฝ้ายได้ลดอาญาจนหวนคืนปิตุภูมิ จากจุดนี้...ฝ้ายลิขิตชีวิตตนเองใหม่ลงบนหน้ากระดาษ


เมื่อรัฐเล่นตลกกับข้า ข้าก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้พวกมัน!


นับแต่นั้น “เสือฝ้าย” ก็กลายเป็นชื่อที่หลายคนต่างพากันขยาด แม้กระทั่งทางการยังกริ่งเกรง และไม่สู้จะหาทางลบชื่อนี้ลงได้ง่ายๆ นาม “เสือฝ้าย” ตราอยู่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไพล่ถึงขนาดเป็นหัวข้ออภิปรายในสภาอยู่บ่อยครั้ง


คดีเสือฝ้ายควรจะจบลงแบบโป้งเดียวจอด ทว่า...การกำจัดผู้ร้ายรายนี้กลับยากจนทางการต้องปวดเศียรเวียนเกล้าบ่อยครั้ง อุปสรรคสำคัญมิได้จำกัดอยู่เพียงอาวุธหรือสรรพกำลังของซุ้มโจร กำแพงกีดขวางกลับเป็นชาวบ้านตาดำๆ ทุกคนคอยปกป้องเสือฝ้าย เสมือนฝ้ายคือญาติในครอบครัวก็มิปาน


ไยชาวบ้านถึงช่วยเหลือคนอาชีพโจร?


นี่คือปมขมวดปัญหา รายละเอียดปลีกย่อยของโจรในอดีตรายนี้คือข้อชวนพิจารณาว่า เขาให้ชาวบ้านเชื่อใจในตัวตนโจรได้อย่างไร นี่ต่างหากคือการไขข้อสงสัยดังกล่าว และรูปการณ์ของเสือฝ้ายล้วนแล้วแต่ตรงกันอย่างบังเอิญกับจอมโจรอีกคน เขาไร้ซึ่งตัวตนจริงๆ เป็นเพียงพ่อหนุ่มรูปงามบนหน้าวรรณกรรมและมุขปาฐะอันเลืองชื่อ “โรบินฮูด” ส่วนจะตรงอย่างไร จะขอกล่าวถึงในส่วนนี้ถัดไปข้างหน้า


-ปล้นคนรวย แจกคนจน-


เสือฝ้ายถูกผู้มีอำนาจเล่นงาน ดังนั้น ศัตรูที่ฝ้ายตั้งเป้ากำจัดย่อมหนีไม่พ้นตัวการที่ส่งเขาไปกินข้างแดงในคุก เสียงร่ำลือถึงวิธีการปล้นของฝ้าย เจตจำนงนั้นผิดกับโจรทั่วไป กล่าวคือ ฝ้ายกับพรรคพวกมิได้ชิงทรัพย์เพื่อยังชีพ โดยประทังให้ปัจจัยสี่ไม่ขาดแคลน ฝ้ายจงใจเล่นงานบรรดาเศรษฐี ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นนั้นๆ โดยเฉพาะพวกแปดเปื้อนมลทิน กลิ่นคาวฉาวโฉ่ ประเภทฉ้อโกง ขูดรีด และอาศัยอำนาจในการทำให้ตัวเองร่ำรวย นี่คือเป้าหมายของฝ้าย ด้วยเหตุนี้ คนยากหรือผู้ขัดสนทรัพย์สินศฤงคาร จึงรอดพ้นเงื้อมมือเสือฝ้าย หนำซ้ำ ยังจะได้ ‘ทรัพย์’ อันเป็นผลพลอยได้อีกต่างหาก การกระทำของฝ้ายเช่นนี้เอง ชาวบ้านถิ่นสุพรรณต่างพร้อมใจเป็นปราการด่านแรก ยันกับการทำคดีของตำรวจ อาทิ การบิดเบือนข้อมูลหรือให้การเท็จ ตลอดจนความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของทางการ กลุ่มเสือฝ้ายสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ก็ชาวบ้านอีกนั่นแหล่ะที่คาบข่าวมาแพร่งพราย เพราะสำหรับเสือฝ้ายแล้ว เขาคือนักบุญในคราบมาร ชาวบ้านแห่แหนยกย่อง แม้จะรู้อยู่เต็มอกถึงการกระทำของฝ้ายในรูปแบบโจรก็ตามที


การตั้งตัวเป็นโจร ส้องสุมกำลังด้วยอาวุธ เท่ากับการประกาศตนเป็นศัตรูกับรัฐอย่างเปิดเผย มิเพียงเท่านี้ เสือฝ้ายดูจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดขั้นพื้นฐานของชาวบ้านมากกว่ารัฐอยากให้เป็น สิ่งนี้คือไม้เด็ดที่เสือฝ้ายมีอยู่เหนือกว่าหลายขุม


เงื่อนไขที่ทางการออกเป็นกฎหมายก็ดี ข้อกำหนดหรือระเบียบปฏิบัติก็ดี ล้วนมีจุดมุ่งหมายต่อการควบคุมคนในสังคมให้ดำเนินไปโดยปกติสุข กระนั้นหลายอย่างไม่เป็นดั่งทางการคาดหวัง ยุคสมัยของเสือฝ้าย คำพูดหนึ่งอันสะท้อนความข้างต้นได้ดีนั่นคือ “ชนชั้นใดร่างกฎหมาย แน่แท้ไซร้ก็เพื่อชนชั้นนั้น” และเสือฝ้ายได้แสดงผลของคำพูดนี้ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวบ้าน ซ้ำยังได้มาด้วยวิธีใช้ความรุนแรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน


เมื่อฝ้ายโดนกฎหมายต่างชนชั้นกลุ้มรุม ฝ้ายจึงงัดข้อกับกฎหมาย เขาเป็นโจร พร้อมทั้งหยิบอาวุธประจันหน้ากับทางการ โดยเหน็บความพิเศษในฐานะชนชั้นของตนดึงประชาชนในละแวกเข้าเป็นพวก กล่าวอย่างถึงที่สุด จะเรียกขานความพิเศษนี้ว่า “ระบบอุปถัมภ์” คงไม่กระดากนัก ขณะตำรวจสอบเค้นชาวบ้านหมายทลายรังโจรกระเดื่องชื่อผู้นี้ ตำรวจเองกลับตอบไม่ได้ว่า ผลประโยชน์จากการพูดความจริงคืออะไร จับต้องและน่าเชื่อถือได้แค่ไหน มีอะไรเป็นหลักประกันสวัสดิภาพ หรือรอดพ้นสายตาของโจรกลุ่มนี้ ตรงกันข้าม,วิธีของเสือฝ้าย คราใดต้องระเห็จหลีกหนีหลังการเพลี่ยงพล้ำในการเผชิญหน้ากับตำรวจ ฝ้ายจะอาศัยชายคาของชาวบ้านเพื่อกำบังกาย จากนั้นไม่นาน เจ้าของบ้านจะตื่นขึ้นด้วยอารามตกใจ เมื่อเงินก้อนหนึ่งวางไว้บนหน้าประตูบ้าน แทบไม่ต้องเดา... เงินก้อนนี้ใครคือคนบันดาล


ปฏิสัมพันธ์ตรงนี้สร้างผลลัพธ์ทันตาเห็น เมื่อชาวบ้านยื่นมือช่วยเหลือเสือฝ้าย ฝ้ายจึงตอบแทนชาวบ้านด้วยแบบฉบับ “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” ตามบันทึกยังบอกอีกว่า เสือฝ้ายจะไม่ลงมือปล้นคนในท้องถิ่น แถมยังออกปากแก่ชาวบ้านในลักษณะให้ความคุ้มครองไปในตัว ทั้งนี้เจตนาของเขาต้องการสื่อถึงอิทธิพลอันมีผลทำให้.....


หนึ่ง สยบยอมต่ออิทธิพลของเสือฝ้าย อันมีลักษณะกึ่งบังคับไปในตัว ต้องเข้าใจว่าจะตำรวจหรือโจร ใครก็แล้วแต่ หากมีปืนอยู่ในมือ บุคคลนั้นย่อมยืนเหนือกว่าในภาวะการณ์นั้น


สอง บุคคลใดให้ความร่วมมือแก่เสือฝ้ายกับพรรคพวก บุคคลนั้นย่อมได้รับผลตอบแทนอันพึงใจไปในตัว คล้ายกับกฎที่ตั้งซ้อนอยู่ในตัวกฎหมายที่รัฐกำหนดไว้


สองข้อนี้ยังผลให้ชาวบ้านทั้ง กลัว และ เกรง คู่ไปกับ การมีทั้ง อิทธิพล และ บารมี จะอย่างไหน เสือฝ้ายได้อยู่เหนือคนธรรมดาสามัญไปเรียบร้อย ด้านชาวบ้านเองยังเห็นจุดประสงค์ของจอมโจรแดนสุพรรณอย่างกระจ่าง เพราะฝ้ายไม่ปล้นคนจนแต่ปล้นผู้มั่งคั่ง ตามด้วยทุกครั้งฝ้ายจะไม่ลงมือปลิดชีวิตเจ้าของทรัพย์ ของมีค่าที่กรรโชกมาได้จะเวียนถึงชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น การกู้ยืม การให้เปล่า การบริจาคค้ำจุนศาสนา รวมถึงการให้ในโอกาสและวาระต่างๆอันจะทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้บ้าง


นอกเหนือการปล้น อดีตผู้ใหญ่บ้านชื่อฝ้ายคนนี้ยังคอยบรรสานประโยชน์ของคนในหมู่บ้าน ข้อพิพาทหรือปัญหาต่างๆ บ้านของเสือนามอุโฆษผู้นี้มักเป็นสถานตัดสินปัญหาให้ชาวบ้านอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งตำรวจในท้องที่ต้องมาขอพึ่งพิงชื่อของเขา เพื่อให้งานราบรื่นสะดวกโยธิน เวลาไม่นาน เครือข่ายแผ่เสือฝ้ายถักทอขึ้นเป็นรูปร่าง ก่อนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ทั่วปริมณฑล โดยโยงใยถึงกันและกันในรูป “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”

ซุ้มเสือฝ้าย และ ปืนเสือฝ้าย


                        




ขุนพันธรักษ์ราชเดช

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช

เกิด   18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446
อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
เสียชีวิต   5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 (อายุ 103 ปี)
สัญชาติ   ไทย
รู้จักในฐานะ   อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย
คู่สมรส   นางเฉลา พันธรักษราชเดช
นางสมสมัย พันธรักษราชเดช
บุตร   12 คน
บิดา มารดา   นายอ้วน พันธรักษ์
นางทองจันทร์ พันธรักษ์


พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446-5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549) อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาว่าจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู จากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้

    นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า
    นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว
    ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจาก พระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้ายิ่งนัก )
    รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ
    จอมขมังเวทย์

ประวัติ
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากท่านมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่แล้วก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ได้ 1 วัน ทางโรงเรียนก็เลื่อนชั้นให้เรียนในชั้นประถมปีที่ 2 และวันรุ่งขึ้นก็เลื่อนชั้นให้เรียนชั้นประถมปีที่ 3 เป็นอันว่าท่านเข้าโรงเรียนได้เพียง 3 วัน ได้เลื่อนชั้นถึง 3 ครั้งประวัติ
เมื่อครั้งเรียนชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสวนป่าน มีพระภิกษุอินทร์ รัตนวิจิตร เป็นผู้สอน เรียนอยู่ประมาณ 2 เดือน โรงเรียนนั้นก็ถูกยุบ ท่านจึงเข้าเรียนในชั้นเดิม ที่โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลพระเสื้อเมือง (ปัจจุบันคือตำบลในเมือง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีครูเพิ่ม ณ นคร เป็นครูประจำชั้น เรียนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2456 ได้เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบจมราชูทิศในปัจจุบัน)
พอเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด ต้องพักรักษาตัวปีกว่า เมื่อหายจึงคิดจะกลับมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมแต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 3 แล้ว จึงเปลี่ยนใจเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2459 โดยไปอยู่กับพระปลัดพลับ บุณยเกียรติ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า ที่วัดส้มเกลี้ยง (วัดราชผาติการาม) ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปั้จจุบัน) เข้าเรียน พ.ศ. 2461 เลขประจำตัว บ.บ. 1430 ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ขณะเรียนที่โรงเรียนนี้ท่านได้เรียนวิชามวย ยูโด และยิมนาสติกจากครูหลายคน เช่น ครูย้อย ครูศิริ ครูนก ครูมณี จนมีความชำนาญในเชิงมวย ท่านสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ในปี พ.ศ. 2467
ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 จึงได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็นครูมวยไทยด้วย เรียนอยู่ 5 ปี สำเร็จหลักสูตรในปี พ.ศ. 2472
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เวลา 23.27 น. ที่บ้านเลขที่ 764/5 ซ.ราชเดช ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
การทำงาน


ในชุดเจ้าพิธีกรรมในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
หลังจากจบการศึกษาแล้ว ทางราชการได้แต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งนักเรียนทำการนายร้อย ที่กองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ. 2473 เป็นนักเรียนทำการอยู่ 6 เดือน ได้เลื่อนยศเป็นว่าที่ร้อยตรี
ในปี พ.ศ. 2474 ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับหมวดที่กองเมืองจังหวัดพัทลุง ที่พัทลุงนี่เองท่านได้สร้างเกียรติประวัติในตำแหน่งหน้าที่ จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงราชการและคนทั่วไป โดยการปราบปรามผู้ร้ายสำคัญของจังหวัดพัทลุง คือ เสือสัง หรือเสือพุ่ม ซึ่งเป็นเสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง ขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าว่า เสือสังนี้มีร่างกายใหญ่โต ดุร้าย และมีอิทธิพลมาก มาอยู่ในความปกครองของกำนันตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นแล้วยังมีคนใหญ่คนโตหลายคนให้ความอุ้มชูเสือสัง จึงทำให้เป็นการยากที่จะปราบได้ แต่ท่านก็สามารถปรามเสือสังได้ในปีแรกที่ย้ายมารับราชการ โดยท่านไปปราบร่วมกับ พลตำรวจเผือก ด้วงชู มี นายขี้ครั่ง เหรียญขำ เป็นคนนำทาง การปราบปรามเสือสังครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ตอนนั้นจเรพระยาศรีสุรเสนา ไปตรวจราชการตำรวจที่พัทลุงพอดี ผู้ปราบเสือสังจึงได้รับความดีความชอบ คือ ว่าที่ร้อยตำรวจตรีบุตร พันธรักษ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยตำรวจตรี พลตำรวจเผือก ชูด้วง เป็นสิบตรี และนายขี้ครั่ง ได้รับรางวัล 400 บาท
หลังจากนั้นมาอีก 1 ปี ท่านก็ได้ปราบผู้ร้ายสำคัญอื่นๆ 16 คน เช่น เสือเมือง เสือทอง เสือย้อย เป็นต้น ด้วยความดีความชอบ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช" และในปี พ.ศ. 2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท และในปีนี้ได้อุปสมบทที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีท่านเจ้าคุณรัตนธัชมุนี (แบน) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชอยู่ได้ 1 พรรษา จึงลาสิกขา ในปี พ.ศ. 2479 ท่านได้ย้ายไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ได้ปราบโจรผู้ร้ายหลายคน
การปราบโจรครั้งสำคัญและทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากคือ การปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่นราธิวาส ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ "อะแวสะดอ ตาเละ" นัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธเท่านั้น ในที่สุดก็ถูกขุนพันธ์ฯ จับได้ ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมเป็นอันมาก ท่านจึงได้รับฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า "รายอกะจิ" หรือแปลว่า "อัศวินพริกขี้หนู" และได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจเอกในปีนั้นเอง พ.ศ. 2482 ขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับกองเมืองพัทลุง ปี พ.ศ. 2485 ย้ายเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ปราบปรามโจรหลายราย รายสำคัญ คือ เสือสาย และเสือเอิบ


ขุนพันธรักษ์ราชเดช ถือดาบและเหน็บกริช แสดงลายนายตำรวจมือปราบหนวดเฟิ้ม
หลังจากนั้นขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดในภาคอื่น คือ ในปี พ.ศ. 2486 ได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร ได้ปฏิบัติหน้าที่มีความดีความชอบเรื่อยมา และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายมากมาย ที่สำคัญคือการปราบ เสือโน้ม หรืออาจารย์โน้ม จึงได้รับพระราชทานยศเป็นพันตำรวจตรี พ.ศ. 2489 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท ได้ปะทะและปราบปรามเสือร้ายหลายคน เช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร เป็นต้น กรมตำรวจได้พิจารณาเห็นว่า ผู้ร้ายในเขตจังหวัดชัยนาทและสุพรรณบุรี ชุกชุมมากขึ้นทุกวันยากแก่การปราบปรามให้สิ้นซาก จึงได้ตั้งกองปราบพิเศษขึ้น โดยคัดเลือกเอาเฉพาะนายตำรวจที่มีฝีมือในการปราบปรามรวมได้ 1 กองพัน แต่งตั้งให้ พ.ต.ต. สวัสดิ์ กันเขตต์ เป็นผู้อำนวยการกองปราบ และ พ.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นรองผู้อำนวยการ กองปราบพิเศษได้ประชุมนายตำรวจที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2489 เพื่อวางแผนกำจัดเสือฝ้าย แต่แผนล้มเหลว ผู้ร้ายรู้ตัวเสียก่อน ขุนพันธ์ฯ ได้รับคำสั่งด่วนให้สกัดโจรผู้ร้ายที่จะแตกเข้ามาจังหวัดชัยนาท
ครั้งนั้นขุนพันธ์ฯ ใช้ดาบเป็นอาวุธคู่มือแทนที่จะใช้ปืนยาว ดาบนั้นถุงผ้าแดงสวมทั้งฝักและด้าม คนทั้งหลายจึงขนานนามท่านว่า "ขุนพันธ์ดาบแดง" ฝีมือขุนพันธ์ฯ เป็นที่ครั่นคร้ามของพวกมิจฉาชีพทั่วไป แม้แต่เสือฝ้ายเองก็เคยติดสินบนท่านถึง 2,000 บาท เพื่อไม่ให้ปราบปราม แต่ขุนพันธ์ฯ ไม่สนใจ คงปฏิบัติหน้าที่อย่างดีจนปราบปรามได้สำเร็จ ท่านอยู่ชัยนาท 3 ปี ปราบปรามเสือร้ายต่างๆ สงบลง แล้วได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่อยุธยา อยู่ได้ประมาณ 4 เดือนเศษก็เกิดโจรผู้ร้ายชุกชมที่กำแพงเพชร ขณะนั้นเป็นระยะเปลี่ยนอธิบดีกรมตำรวจ และขุนพันธ์ฯ ก็ถูกใส่ร้ายจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นโจรผู้ร้าย พล.ร.ต. หลวงสังวรยุทธกิจ อธิบดีกรมตำรวจยังเชื่อมั่นว่าขุนพันธ์ฯ เป็นคนดี จึงโทรเลขให้ไปพบด่วน และแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร
เมื่อปี พ.ศ. 2490 ขุนพันธ์ฯ ได้ปรับปรุงการตำรวจภูธรของเมืองนี้ให้มีสมรรถภาพขึ้น และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายต่างๆ ที่สำคัญคือ เสือไกร กับ เสือวัน แห่งอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ทำให้ฝีมือการปราบปรามของขุนพันธ์ฯยิ่งลือกระฉ่อนไปไกล
ย้ายกลับพัทลุง
ครั้งหนึ่งเคยมีคำขวัญอันคมคายของกรมตำรวจอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" นี่เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นในยุคอัศวินแหวนเพชรเฟื้อง ในสมัยของท่านอธิบดีฯ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ปกครองกรมตำรวจ วีรบุรุษผู้สร้างเกียรติประวัติให้กรมตำรวจนั้นมีอยู่มาก มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ในยุคสมัยที่ท่าน อธิบดีกรมตำรวจหลวงอดุลย์เดชจรัสนั้น...นามของ"ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ระบือลือลั่นสุดยอดแผ่นดินด้ามขวานทอง แม้ท่านขุนพันธ์จะปลดเกษียณราชการไปนานปี แล้วก็ตาม แต่ชื่อของท่านยังอยู่ในความทรงจำของกรมตำรวจและประชาชนทั่วไป นั่นเป็นเพราะผลงานอันน่าอัศจรรย์ของท่าน กลายเป็นผลงานอันยากยิ่งที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนเมืองใต้และคนของแผ่นดินต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ทางจังหวัดพัทลุงมีโจรผู้ร้ายกำเริบชุกชุมขึ้นอีก ราษฎรชาวพัทลุงนึกถึงขุนพันธ์ฯ นายตำรวจมือปราบ เพราะเคยประจักษ์ฝีมือมาแล้ว จึงเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอตัวขุนพันธ์ฯ กลับพัทลุงเพื่อช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย กรมตำรวจอนุมัติตามคำร้องขอ ขุนพันธ์ฯ จึงได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงอีกวาระหนึ่ง ได้ปราบปรามเสือร้ายที่สำคัญๆสิ้นชื่อไปหลายคน ผู้ร้ายบางรายก็หนีออกนอกเขตพัทลุงไปอยู่เสียที่อื่น นอกจากงานด้านปราบปรามซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและสร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นพิเศษแล้ว ท่านยังได้พัฒนาเมืองพัทลุงให้เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยปรับปรุงชายทะเลตำบลลำปำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และให้มีตำรวจคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถไฟที่เข้าออกเมืองพัทลุง ทำให้เมืองพัทลุงในสมัยที่ท่านเป็นผู้กำกับการตำรวจ มีความสงบสุขน่าอยู่ขึ้นมาก ตำรวจที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้เลิกไปเมื่อกรมตำรวจจัดตั้งกองตำรวจรถไฟขึ้น ด้วยความดีความชอบในหน้าที่ราชการ ท่านจึงได้รับพระราชทานเลื่อนยศ เป็นพันตำรวจโทในปี พ.ศ. 2493 ท่านอยู่พัทลุงได้ 2 ปีเศษ จนถึง พ.ศ. 2494 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2507
พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ที่บ้านในซอยราชเดช ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุได้ 103 ปี
เกียรติประวัติ
สมัยที่ขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนนั้นมีเสือใหญ่อยู่ 10 ตัว ในจำนวนเสือร้าย 10 ตัวนั้น มีเสือข่อย เสือจ้อย เสือหวน ฯลฯ รวมอยู่ด้วย เสือทั้ง 10 คนนั้น ล้วนเคยเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย เมืองนครศรีธรรมราช ผู้ซึ่งเป็นพระมีวิชาเก่งกล้าทางไสยศาสตร์ หรือกฤตยาคม ขุนพันธ์ฯ เคยเรียนวิชาด้วยผู้หนึ่ง เมื่อท่านขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญระดับภาค ท่านมีประกาศิตสั่งให้ผู้ร้ายทั้ง 10 คนนั้น เลิกประพฤติเยี่ยงโจร ให้กลับใจเลิกเป็นเสือเสีย โดยให้บวชเป็นพระภิกษุ ถ้าหากไม่ทำตามคำขอร้องนั้น ขุนพันธ์ฯ ก็จะยิงทิ้งทุกคน เล่ากันว่าประกาศิตของขุนพันธ์ฯทำให้เสือร้ายส่วนใหญ่ปฏิบัติตามแต่โดยดี มีเพียงเสือข่อยเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตามคำของขุนพันธ์ฯ เสือข่อยไม่ยอมเลือกทางเดินที่ขุนพันธ์ฯเลือกให้ ซ้ำร้ายยิ่งท้าทายอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง ด้วยความเชื่อว่า ตนนั้นเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย ผู้เรืองวิชาอาคมแก่กล้า เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับขุนพันธ์ฯ จึงคิดว่าขุนพันธ์จะยกเว้นไว้สักคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ขุนพันธ์ฯ ทำตามที่พูด ว่ากันว่าท่านยิงเสือข่อย แต่ยิงไม่เข้า จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าด้วยศูลแทงสวนทวารจนถึงแก่ความตาย คำเล่าลือเหล่าเสือร้ายในหมู่บ้านของชาวเมืองปักษ์ใต้ มีทั้งเรื่องจริงบ้าง หรือต่อเติมเสริมแต่งของผู้เล่าอ่านเองบ้าง มันคือตำนานอมตะของวีรบุรุษเล็กพริกขี้หนู ที่มีนามว่า "นายร้อยบุตร์ พันธรักษ์ราชเดช" หรือขุนพันธรักษ์ราชเดช ขุนพันธ์ฯ เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใด ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เนื่องจากท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของตำรวจนั่นเองชีวิตของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นชีวิตที่มีค่าของแผ่นดินเมืองใต้และเมืองไทย ลมหายใจของท่านเคยโลดแล่นอยู่ท่ามกลางหมู่โจรผู้ร้าย ไม่เฉพาะแต่ผู้ร้ายในภาคใต้เท่านั้น แต่ที่ไหนประชาชนเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ตำรวจคนอื่นปราบปรามไม่สำเร็จ กรมตำรวจจะต้องส่งตัวขุนพันธ์ฯ ไปปราบปรามทุกถิ่นที่มีครั้งหนึ่ง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ท่านเคยเดินทางมาตรวจสืบราชการลับที่เกาะสมุย ขุนพันธ์ฯท่านชอบดูมวย วันนั้นท่านไปยืนดูมวยอยู่ข้างเวที บังเอิญถอยหลังไปเหยียบเท้านางพล้อยเข้าโดยไม่ตั้งใจ ป้าพล้อยแกเป็นคนปากจัด ใครแตะเป็นด่าไม่ไว้หน้า แกก็ด่าขุนพันธ์ฯ ขุนพันธ์ฯก็วางเฉยไม่โต้ตอบอะไร มีคนรู้จักกันเข้าไปเตือนสติป้าพล้อยว่า "คนที่ป้าด่าอยู่นั้นรู้มั๊ยว่าเป็นใคร...นั่นแหละขุนพันธ์ฯ" พอได้ยินชื่อขุนพันธ์ฯเท่านั้น ป้าพล้อยแกเงียบเป็นเป่าสาก รีบก้มหน้างุดๆ เดินมุดผู้คนหนีไปโดยไม่เหลียวหลังมาอีกเลย คำบอกเล่าสั้นๆนี้ทำให้เห็นว่า ขุนพันธ์ฯ ท่านมีตบะสูง เพียงได้ยินว่าเป็นขุนพันธ์เท่านั้น ใครๆก็ขยาดทั้งนั้น เพราะรู้กิตติศัพท์ของท่านมาก่อนนั่นเอง
ขุนพันธ์ในฐานะนักการเมือง
ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช เคยเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ จ.นครศรีธรรมราช ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2512[1]
ขุนพันธ์ในฐานะนักวิชาการ


ขุนพันธ์กับบุตรชาย คุณณสรรค พันธรักษราชเดช
นอกจากเกียรติคุณทั้งในและนอกตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวมาแล้ว ขุนพันธ์ฯ ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สำคัญซึ่งควรกล่าวถึงคือ เป็นนักวิชาการที่สำคัญคนหนึ่ง ท่านเป็นทั้งนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวต่างๆ ลงพิมพ์ในหนังสือและวารสารต่างๆ หลายเรื่อง ขุนพันธ์ฯ เป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องไสยศาสตร์อยู่มาก เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ นอกจากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งประวัติบุคคลและสถานที่ ตำนานท้องถิ่น มวย และเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ข้อเขียนต่างๆของท่าน เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ ช้างเผือกงาดำ หัวล้านนอกครู

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทีมชาติไทย VS ทีมชาติเวียดนาม คัดบอลโลกสด!!

ถ่ายทอดบอลสด !

จบเกม ทีมชาติไทยชนะ 1-0 

ไทยแลนด์ สู้ๆ ไปบอลโลกกันนนนนน!!






ขอขอบคุณ - http://www.adintrend.com/hd/ch39

ป๊าดดดด!! มันทำได้ยังไงนิ...OMG



Impossible FLOATING man on magic stick, Schwebender Mann in Frankfurt: November 2012

 

Seit einigen Monaten tourt eine Gruppe durch Deutschland und fasziniert die Menschen mit dem sogenannten "schwebenden Mann". Es ist allerdings nur ein billiger Trick der dahinter steckt. Hier auf dem Video ist der schwebende Mönch auf der Frankfurter Zeil zu sehen. Viele Leute sind regelrecht begeistert vom schwebenden Mann. An Wochenenden versammeln sich bis zu 50 gleichzeitig am schwebenden Mann und versuchen den Trick herauszufinden. Since a few months a man is traveling through the citys in Germany and showing this show. But this is a fake. Captured with Nokia E6 with HD quality.

ขอขอบคุณ- https://www.youtube.com/watch?v=OdP9w_hO8lc

10 เรื่อง เตือนภัยสำหรับผู้หญิง มีประโยชน์มากๆ



ตือนภัยสำหรับผู้หญิง

ตือนภัยสำหรับผู้หญิงรู้ไว้ไม่เสียหายนะ

ตำรวจชาวออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน

1). เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้ ข้อศอกเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมนุษย์ หากคุณอยู่ใกล้คนร้ายในระยะที่จะใช้มันได้ จงใช้มันซะ!

2). เคล็ดลับจากสมุดแนะนำนักท่องเที่ยว ถ้าคนร้าต้องการกระเป๋าเงินหรือของมีค่าของคุณ อย่ายื่นให้กับเขาจงโยนกระเป๋าเงินของคุณไปให้ไกลจากตัวเอง..โอกาสที่คนร้ายจะสนใจกระเป๋าเงินของคุณนั้นมีมากกว่าที่จะสนใจคุณ และนั่นจะทำให้เขาต้องไปหยิบกระเป๋าเงินที่อยู่ห่างจากตัวคุณ ตอนนี้แหละ จงวิ่งไปอีกทิศทางหนึ่งให้เร็วที่สุด

3). ถ้าคุณเกิดถูกลากหรือโยนเข้าไปในท้ายรถของคนร้าย สิ่งที่คุณควรทำคือให้ถีบไฟท้ายจนหลุดออกมา ยื่นแขนของคุณออกมาจากช่อง แล้วเริ่มโบกมืออย่างบ้าคลั่ง คนขับไม่เห็นสิ่งที่คุณทำ แต่คนอื่นจะเห็นวิธีนี้ได้ช่วยหลายต่อหลายชีวิตมาแล้ว..

4). คุณผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะนั่งอยู่บนรถเฉยๆ หลังจากช้อปปิ้ง เที่ยว กิน หรือ ทำงานเพื่อจะแต่งหน้า เปิดผ่านหนังสือ เช็คโทรศัพท์ ฯลฯ ห้ามทำเป็นอันขาด! คนร้ายจะคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของคุณ และสิ่งที่คุณทำเป็นการเปิดโอกาสอันเหมาะสมเพื่อให้เขาเข้ามาทางที่นั่งข้างคนขับ และเอาปืนจ่อหัวคุณเพื่อจะให้คุณขับไปตามทางที่เขาต้องการเพราะฉะนั้น….ทันทีที่คุณขึ้นรถจงล็อคประตู และรีบออกรถซะ ! แต่ถ้าเกิด…. คนร้ายอยู่บนรถกับคุณ และเอาปืนจ่อขมับคุณไว้ อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก
ย้ำ: อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก สิ่งที่คุณควรทำ คือ  เหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุด ขับพุ่งใส่กำแพงหรือสิ่งกีดขวางในละแวกนั้นถุงลมนิรภัยฝั่งคุณจะช่วยชีวิตคุณไว้ (เช่นเดียวกับฝั่งคนร้ายหากคนร้ายนั่งเบาะหน้า) (หากคนร้ายนั่งอยู่เบาะหลัง เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส)แต่ทันใดที่รถของคุณชน ให้รีบถอนตัวออกมา(จากถุงลมนิรภัย) แล้ววิ่งออกจากรถสุดแรงเกิด วิธีนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตรงที่คุณสามารถวิ่งเข้าหากลุ่มคนเพื่อขอความช่วยเหลือได้ หากคุณออกรถไปที่ไกลๆ ตามเส้นทาง/สถานที่ที่คนร้ายบอกจะทำให้คนร้ายตามตัวคุณได้ง่ายเพราะคุณไม่รู้จักสถานที่นั้นดีเท่าเขา

5). ข้อแนะนำสำหรับการเดินไปที่รถของคุณ ในลาน/โรงจอดรถ
       5.1 จงระวัง: มองไปรอบๆ ตัวของคุณ มองเข้าไปในรถของคุณ มองลอดไปบนพื้นฝั่งที่นั่งข้างคนขับ และเบาะหลัง
       5.2 ถ้ารถของคุณมีรถตู้จอดอยู่ข้างๆ ให้ขึ้นรถทางฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ คนร้ายจะจู่โจมเหยื่อของมันโดยการฉุด ขึ้นรถตู้ในขณะที่เหยื่อกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ เพราะฉะนั้นรถตู้น่าสงสัยเหล่านี้จึงมักที่จะจอดอยู่ฝั่งคนขับ
       5.3 ให้มองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างๆ คุณทั้งสองข้างของรถ ถ้าเจอผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวในฝั่งที่อยู่ใกล้รถของคุณมากที่สุด

       สิ่งที่คุณควรทำคือ เดินกลับเข้าไปในห้าง หรือออฟฟิสเพื่อขอให้ รปภ หรือตำรวจเดินมากับคุณ เพื่อส่งคุณขึ้นรถ ไม่ต้องไปคิดมากกว่าคนอื่นหรือตำรวจจะมองคุณโรคจิตหรือเปล่า เพราะการระมัดระวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์อันน่าสงสัยนั้นจงตระหนักอยู่เสมอว่า ปลอดภัยไว้ก่อน…

6). จงใช้ลิฟต์ตลอดแทนที่จะใช้บันใด เพราะบันใดเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุดที่ผู้หญิงจะอยู่คนเดียว มันเป็นที่ๆ เพอร์เฟคสำหรับคนร้าย และน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งในยามวิกาล

7). ถ้าคนร้ายมีปืนแต่คุณไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาจงวิ่ง!! เพราะโอกาสที่คนร้ายจะยิงถูกคุณมีเพียง 4 ครั้งใน 100 ครั้งเท่านั้น (เป้าวิ่ง) และเป็นไปได้สูง ว่าจะไม่โดนอวัยวะสำคัญ วิ่งงงงงงง!! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…การวิ่งซิกแซก

8). จุดอ่อนของผู้หญิงส่วนใหญ่ คือ ขี้สงสาร ขี้เห็นใจ จงหยุดซะ!! เท็ด บันดี้ เป็นฆาตรกรหน้าตาดี และการศึกษาสูง เขาใช้จุดอ่อนข้อนี้ของผู้หญิงเพื่อลวงมาฆ่าเสมอ เพราะฉะนั้นจงมีเหตุมีผล ดูสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง …. “จงช่างสังเกต” หากพบข้อสงสัยแม้เพียงข้อเดียว ก็ควรจะลีกเลี่ยงบุคคลนั้นๆ ให้เร็วที่สุด

9). เรื่องที่ควรตระหนักอีกข้อ เพื่อนสาวของได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กตอนกลางคืนและเธอก็คาดว่าเสียงนั่นดังมาจากระเบียงบ้านของเธอ เธอเลือกที่จะโทรแจ้งตำรวจแทนที่จะออกไปดูด้วยตัวเองนั่นเป็นเพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ว่านั่นอาจจะเป็นกลลวง และตำรวจก็สั่งกับเธอว่า……..“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด”

….เธอจึงเล่าให้ตำรวจฟังอีกว่าเสียงนั่นฟังดูเหมือนว่าเด็กนี่ได้คลานมาใกล้หน้าต่างของและเธอก็เป็นกังวลว่าถ้าหากเด็กคนนี้คลานออกไปถึงถนนก็จะถูกรถชนตำรวจจึงสั่งเธอว่า “ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างทางไปบ้านเธอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามเปิดประตูเด็ดขาดไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น ตำรวจย้ำถึงสามรอบ”

ตำรวจเล่าให้เธอฟังต่อว่าพวกเขาคิดว่า… น่าจะเป็นฆาตรกรที่ใช้วิธีเปิดเทปเสียงเด็กร้องไห้เพื่อจะหลอกหล่อให้ผู้หญิงออกจากบ้านมาดู โดยที่ฆาตรกรหวังใช้จุดอ่อนของผู้หญิงคือ ความขี้เห็นใจ ขี้สงสาร นั่นเอง แต่ทางตำรวจก็ยังจับตัวฆาตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีการโทรมาแจ้งและได้เล่าเรื่องเดียวกัน คือได้ยินเสียงเด็กมาจากนอกบ้าน หน้าต่าง หน้าประตู เวลากลางคืน และทุกสายที่โทรมาแจ้งล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียวทั้งสิ้น

10). ถ้าคุณตื่นขึ้นมากลางดึกและได้ยินเสียง เหมือนว่าก๊อกน้ำถูกเปิดอยู่หรือท่อน้ำของคุณแตกนอกบ้าน …..ห้ามออกไปเดินสำรวจเด็ดขาด!….. เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งจะเข้าไปเปิดก๊อกน้ำบ้านคุณให้สุดเพื่อให้คุณได้ยินและออกมานอกบ้าน นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะโจมตีคุณ ข้อความนี้สำหรับตัวของคุณเองและเพื่อให้คุณได้แบ่งปันให้กับภรรยา ลูก หรือทุกๆ คนที่คุณรู้จัก


หลังจากที่คุณได้อ่านคำแนะนำที่สำคัญเหล่านี้ ..คุณอาจต้องการที่จะเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โปรดส่งต่อให้กับคนที่คุณรักและเป็นห่วง การระมัดระวังล่วงหน้าไม่ต้องแลกกับความสูญเสีย เพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ดีที่สุด

ขอขอบคุณ- http://www.tamsabye.com

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไม่น่าเชื่อว่า!! “เห็ดเข็มทอง” อาหารมหัศจรรย์ สรรพคุณลดน้ำหนักอันดับ 1 ของโลก !

ถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมามอง “เห็ดเข็มทอง” ในแง่มุมใหม่ เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า แค่เพิ่มเห็ดเข็มทองในอาหารทุกวันก็จะได้อาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถเนรมิตหุ่นเราให้ผอมเพรียวและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้



        ดร.เอะงุชิ ฟุมิโอะ ดุษฎีบัณฑิตด้านโภชนาการ และเจ้าของผลงานเขียนเรื่อง “เห็ดเข็มทอง” อธิบายให้ฟังว่า เห็ดเข็มทองมีสรรพคุณทางยามากมาย วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ในเห็ดเข็มทองมีเส้นใยอาหารมากกว่ากะหล่ำปลีราว 2 เท่า
     
       “ยิ่งกว่านั้น ส่วนประกอบของโครงสร้างเส้นใยอาหารก็มีลักษณะเฉพาะต่างจากเห็ดชนิดอื่น ส่วนประกอบดังกล่าวเป็นสารพอลิแซ็กคาไรด์ ที่เรียกว่าไคโทซานเห็ด (ไคโทกลูแคน) ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในบรรดาเห็ดทั้งหลาย ไคโทซานเห็ดจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อย่อยสลายเส้นใยเหล่านี้ และเมื่อไคโทซานเห็ดละลายเข้าสู่กระแสเลือด จะช่วยดักจับไขมันส่วนเกินในเลือดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วนแล้วขับออกมาพร้อมอุจจาระ แถมยังช่วยกำจัดไขมันอีกด้วย” ดร.เอะงุชิ กล่าว
     
       มีงานวิจัยออกมามากมายว่า ถ้ารับประทานเห็ดเข็มทองที่อุดมไปด้วยส่วนประกอบดังกล่าว ไคโทซานเห็ดจะช่วยเพิ่มพลังในการขับถ่ายให้ดีขึ้น เมื่ออุจจาระถูกขับออกมาและสภาพในลำไส้ปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพหลายอย่าง ทั้งน้ำหนักลดลง เอวคอดขึ้น สิวฝ้าลดลง ผิวพรรณมีน้ำมีนวลขึ้น...ความเปลี่ยนแปลงที่แสนวิเศษนี้เป็นสิ่งที่คาดหวังได้จากเห็ดเข็มทองอย่างไม่ต้องสงสัย



        “ปัจจุบันที่เมืองนะกะโนะ ประเทศญี่ปุ่นกำลังนิยมกิน “น้ำแข็งเห็ด” ซึ่งคิดค้นโดยฮิโระฟุมิ อะโตะ นายกสมาพันธ์สหกรณ์การเกษตรแห่งเมืองนะกะโนะ รสชาติของเห็ดเข็มทองเมื่อเป็นน้ำแข็งเห็ดจะยิ่งกลมกล่อมและเข้มข้นขึ้น เมื่อนำไปใส่อาหารจะทำให้มีเนื้อมีหนังมากขึ้น รสชาติก็อร่อยถ้าใส่ในซุปมิโซะกินกันทุกวัน ผ่านไป 3 เดือน เอวกางเกงจะหลวมขึ้นทันตาเห็นทีเดียว”
     
       “น้ำแข็งเห็ด” นอกจากกินง่ายสบายท้องแล้ว ยังมีข้อดีที่ไม่ควรมองข้ามคือเส้นใยอาหารที่แข็งแรงของเห็ดเข็มทองจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มากขึ้น หากนำมาปรุงกินแบบธรรมดา ถ้าเคี้ยวให้ละเอียดก็ได้รับสารอาหารเหมือนกัน แต่ถ้าใช้วิธีใหม่คือทำเป็นน้ำแข็งเห็ด จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่มีสรรพคุณทางยามากกว่าปรุงแบบธรรมดา


ขอขอบคุณ - http://www.manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000053117

บิ๊กตู่!! สั่งคมนาคมสานฝันไฮสปีดเทรน"กรุงเทพฯ-เชียงใหม่" ให้เป็นจริง


บิ๊กตู่" สั่งคมนาคมสานฝันไฮสปีดเทรน"กรุงเทพฯ-เชียงใหม่" ให้เป็นจริง "ประจิน" ลุยเปิดประมูลมินิไฮสปีดสายใต้ "กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์" วงในเผย 3 เจ้าสัว "ไทยเบฟ-ซีพี-บีทีเอส" แบ่งเค้กลงทุนครบ 3 เส้นทาง



พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้คมนาคมเร่งผลักดันรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ให้สำเร็จและเกิดขึ้นได้จริง ส่วนรถไฟไทย-จีน เนื่องจากมีความก้าวหน้าไปมากจึงไม่มีข้อกังวลอะไร เพียงแต่บอกว่าการทำงานต้องเตรียมแผนประกันความเสี่ยงไว้ ถ้ามีความเสี่ยงด้านใดด้านหนึ่ง ต้องหาวิธีการแก้ไข

ทั้งนี้ โครงการรถไฟไทย-จีนที่ลงนาม MOU (บันทึกความเข้าใจ) กับรัฐบาลจีน เรียกว่ารถไฟทางคู่มาตรฐาน ความเร็ว 180 กม./ชม. หรือมินิไฮสปีดเทรน ขณะที่โครงการรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ชื่อโครงการจะแตกต่างออกไป โดยรัฐบาลญี่ปุ่นเรียกว่าการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย เสนอร่วมพัฒนา 2 เส้นทางคือ

1.สายพุน้ำร้อน-กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ และกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง ในอนาคตถ้าเชื่อมทวายจะเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้ เพราะเชื่อมไทย เมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนามได้ คาดว่าเป็นมินิไฮสปีดเทรนราง 1.435 เมตรเหมือนกับจีน

2.สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เป็นรถไฟความเร็วสูง วิ่ง 200-300 กม./ชม. คาดว่าเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเซ็น MOU เดือนพฤษภาคมนี้ จากนั้นเดือนมิถุนายนจะตั้งไซต์งานสำรวจและออกแบบใช้เวลาประมาณ 1 ปี เป็นเส้นทางเน้นขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นไฮไลต์อีกเส้นหนึ่งของรัฐบาล

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนเร่งผลักดันรถไฟกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์หลังญี่ปุ่นได้เลือกเส้นทางใดเรียบร้อยแล้วโดยจะเริ่มเดินหน้าเส้นทางตอนใต้ทันทีเพื่อเชื่อมรถไฟไทย-จีนที่สร้างจากหนองคาย-กรุงเทพฯ

"คาดว่าจะเปิดประมูลทั่วไปเนื่องจากยังไม่มีประเทศที่3 มาเสนอตัว มีแต่บริษัทเอกชนแสดงความสนใจ มีแนวโน้มเป็นรถไฟทางมาตรฐาน 1.435 เมตร ความเร็วปานกลาง 180 กม./ชม." พล.อ.อ.ประจินกล่าวและว่า

อีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-พัทยาและกรุงเทพฯ-หัวหิน เหมาะสมจะสร้างเป็นรถไฟความเร็วปานกลางถึงความเร็วสูงได้ คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้จะเสนอแผนงานให้ ครม.พิจารณา

ที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนไทย 3 กลุ่มแสดงความสนใจลงทุน คือ กลุ่มซีพี ไทยเบฟเวอเรจ และกลุ่มบีทีเอส ล่าสุดได้ตั้งคณะทำงานพิจารณารูปแบบการลงทุน คาดว่าเป็นการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชนรูปแบบ PPP เตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบเดือนพฤษภาคมนี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงหลังจากนายกรัฐมนตรีมีนโยบายลงมา มีกระแสข่าวออกมาว่ากลุ่มไทยเบฟฯ สนใจเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน, กลุ่มซีพีสนใจเส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา ส่วนบีทีเอสสนใจรถไฟไทย-จีนในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ขอขอบคุณ- http://www.cmprice.com

เตือน!! 20-26 พ.ค. ฝนตกหนัก(เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง)

เตือน!! 20-26 พ.ค. ฝนตกหนัก(เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง)



กรมอุตุนิยมวิทยา เผยลักษณะอากาศระหว่างวันที่ 20-26 พ.ค. เตือนหลายจังหวัดเตรียมรับมือกับฝนฟ้าคะนอง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ

วันนี้ (20 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศลักษณะอากาศทั่วไป ระหว่างวันที่ 20-26 พ.ค. โดยลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรง พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา ทะเลจะมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 24-26 พ.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย เริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนลดลง ซึ่งพยากรณ์อากาศในแต่ละพื้นที่ รวมวถึงจังหวัดที่ต้องเตรียมรับมือกับฝนฟ้าคะนอง มีดังนี้

ภาคเหนือ

มีเมฆเป็นส่วนมาก มีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ ตาก และกำแพงเพชร อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ขอบคุณ-www.cmprice.com


อัพเดทสภาพอากาศวันนี้ 22/05/15 เวลา 02.20PM

ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา

ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ 
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง 
ตาก และกำแพงเพชร 
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส 
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 
กลุ่มฝน ณ เวลา 15.14 น. ภาพจากเรดาร์ฝนหลวง

54484+.jpg

ภาพวิเคราะห์ภาพดาวเทียม พยากรณ์อากาศ ฝน เมื่อเวลา 13.00 น.

2015052213.jpg

ข้อมูลจาก อุตุฯ เหนือ
11218594_834397259929505_704579779464046

ขอขอบคุณ- http://www.cm108.com



ยิงหนุ่มรับเหมาศพลอยในแม่น้ำ พร้อมจยย. ชาวบ้านได้ยินเสียงปืนดัง-ไม่กล้าออกมาดู!!


วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16:21 น.




 เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 22 พ.ค. พ.ต.ท.มนตรี ดวงวนา พงส.สภ.เกาะคา รับแจ้งมีคนถูกยิงและเสียชีวิตอยู่ภายในลำน้าแม่น้ำจาง เขตบ้านวังพร้าว ม.1 ต.วังพร้าว อ.เกาะคา จ.ลำปาง จึงรายงายให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และออกไปทำการสอบสวนร่วมกับ พ.ต.ท.อัศวิน สูติวงศ์ พงส.ผนพ. พ.ต.ท.ชัชชับ บรรหาร รอง ผกก.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ลำปาง แพทย์เวรโรงพยาบาลเกาะ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเกาะคา พบศพชายนอนจมอยู่ในน้ำ สภาพนอนคว่ำหน้า ห่างไปประมาณ 30 เมตร พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าดรีม สีแดง ทะเบียน ขจร 454 ลำปาง เจ้าหน้าที่จึงนำศพขึ้นจากน้ำ เพื่อทำการชันสูตรพลิกศพ

 พบว่าที่บริเวณหน้าท้องของผู้ตายมีร่องรอยถูกยิงด้วยกระสุนปืนไปทราบขนาด 1 นัด กระสุนฝังใน ทราบต่อมาว่าผู้ตายชื่อ นายพรเทพ ผาพา อายุ 46 ปี อยู่ ต.วังพร้าว อ.เกาะคา และเมื่อเจ้าหน้าที่ออกทำการตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงกับที่พบศพ ซึ่งห่างออกไปประมาณ 700 เมตร บนถนนตรงข้ามกับบ้านเลขที่ 58 ม.1 ต.วังพร้าว พบรอยเลือดแห้งเกรอะกรัง กองอยู่บนถนนด้วย

 จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เวลาประมาณ 23.00 น. มีชาวบ้านหลายคนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แต่ไม่มีใครกล้าออกมาดู กระทั่งรุ่งเช้า จึงมีชาวบ้านในหมู่บ้านออกไปหาปลาในแม่น้ำจาง จึงไปพบศพของนายพรเทพ เสียชีวิตอยู่ในแม่น้ำ จึงรีบวิ่งไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการสอบสวนในที่สุด

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสอบสวนอยู่นั้น ได้มีญาติๆ ของนายพรเทพผู้ตาย ทราบเรื่อง จึงพากันเดินทางมาดูยังที่เกิดเหตุ พร้อมกับเล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่า ผู้ตายมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไป แต่มีพฤติกรรมชอบเสพยาบ้าอยู่ด้วย ทั้งนี้ทางญาติของผู้ตายยังยืนยันอีกว่านายพรเทพ ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

ขอขอบคุณ-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1432286603

ปล้นรายวัน!! บุกเดี่ยวจี้เซเว่นฯ ไม่ได้เงิน-ฉกเหล้าแทน

ปล้นรายวัน!! บุกเดี่ยวจี้เซเว่นฯ ไม่ได้เงิน-ฉกเหล้าแทน



03.30 น. วันที่ 22 พ.ค.สภ.เมืองชลบุรี ได้รับแจ้งว่า มีคนร้าย พร้อมอาวุธเข้าจี้ชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแฟมิลี่ทาวน์ หน้าหมู่บ้านแฟมิลี่ทาวน์ ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จึงรุดไปที่เกิดเหตุ พบภายในร้าน มีพนักงานยืนตัวสั่นอยู่ภายในร้าน อยู่ในอาการตกใจ

 สอบถามทราบว่ามีคนร้าย จำนวน 1 คน เป็นชายรูปร่างใหญ่ สูงประมาณ 170-180 เซนติเมตร สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ สีดำ สวมเสื้อแจ๊กเก็ต สีดำ สวมถุงมือสีดำ ลักษณะคล้ายคนขับรถแบบบิ๊กไบก์เดินเข้ามาภายในร้าน พร้อมอาวุธมีดสั้น เดินตรงเข้ามาตรงจุดลิ้นชักเก็บเงิน ใช้อาวุธมีจี้บังคับให้เปิดลิ้นชัก เพื่อเอาเงิน แต่ช่วงนั้น พนักงานได้นำเงินส่งไปหมดแล้ว คนร้ายเห็นว่าไม่ได้เงิน จึงตรงเข้าไปหยิบเอาสุราต่างประเทศ ยี่ห้อเรดเลเบิ้ล ไป 3 ขวด และร่วงตกลงพื้นแตกไป 1 ขวด หลังจากนั้นก็รีบวิ่งออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

คนตกนำ้ปิง ใกล้สะพานนครพิงค์

 คนตกนำ้ปิง!! ใกล้สะพานนครพิงค์



ภาพและข่าวจาก ตัวเล็ก ตัวเล็ก
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เกิดเหตุ คนตกนำ้ปิง ใกล้สะพานนครพิงค์(ใกล้กาดหลวง) เบื้องต้น ผู้ประสบเหตุเป็น หญิง สวมชุดขาว .. รายละเอียดจะนำเสนอต่อไป


ขอบคุณ- http://www.cmprice.com

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เด็กไทย เจ้าของกิจการข้าวมันไก่ในอเมริกา ได้พูดในTEDx เวทีระดับโลก..


First give, then receive: Nong Poonsukwattana at TEDxPortland

เด็กไทย เจ้าของกิจการข้าวมันไก่ในอเมริกา ได้พูดในTEDx เวทีระดับโลก..จากคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นและมีเงินแค่70ดอล


 





Nong was born in Bangkok, Thailand. Nong's mother taught her, from the time she was a littlegirl, to cook in traditional Thai-style, focusing on quality ingredients crafted from scratch. Nong came to Portland in 2003 with two suitcases and $70 to pursue her dream. After honing her skills at local Thai restaurants, such as Pok Pok, Nong opened Nong's Khao Man Gai food cart in 2009 and quickly received substantial international attention and critical acclaim.
Event Recap - April 12, 2014 at the Keller Auditorium with 2900+ in attendance marked the 4th installment for TEDxPortland. Committed to ideas worth spreading in the Rose City and beyond, 55+ volunteers, worked year round to organize this one-day event featuring 14 speakers and 4 performances. This year's theme was PERFECT.

With special thanks to the UNIVERSITY OF OREGON for presenting partnership, a world class stage design provided by HENRY V, an incredible legacy bound book provided by PREMIER PRESS and to the creative digital craft provided by INSTRUMENT. All of our "Perfect Partners" can be found here:http://www.tedxportland.com/?partners

In the spirit of ideas worth spreading, TEDx is a program of local, self-organized events that bring people together to share a TED-like experience. At a TEDx event, TEDTalks video and live speakers combine to spark deep discussion and connection in a small group. These local, self-organized events are branded TEDx, where x = independently organized TED event. The TED Conference provides general guidance for the TEDx program, but individual TEDx events are self-organized.* (*Subject to certain rules and regulations)

ขอขอบคุณ-  https://www.youtube.com/watch?v=ZlBGx9Npl6A